ในช่วง 3 ทศวรรษนับตั้งแต่การประชุมสุดยอดที่ริโอ (เมื่อปี 2535 หรือ ค.ศ.1992) และการเปิดตัวกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ก็ได้มีการจัดประชุม COP ระหว่างประเทศสมาชิกทุกปีซึ่งนำไปสู่ข้อตกลงปารีสหรือที่เรียกว่า COP21 และมีผลบังคับใช้ในทุกประเทศอันเป็นความร่วมมือระดับโลกในการจำกัดอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไว้ที่ 1.5 – 2 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับก่อนยุคอุตสาหกรรมภายในปี 2643 (ค.ศ.2100) และสอดคล้องกับคำแนะนำของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC)
การปรับตัวให้เข้ากับผลกระทบที่มีอยู่ของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศดังกล่าวจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่ได้รับความร่วมมือจากทั่วโลก และจากการประชุม COP21 จนถึง COP28 ทั่วโลกมีความพยายามในการจำกัดอุณหภูมิ และลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกเสมอมา
ความพยายามดังกล่าวที่ดูเหมือนจะยังคงไม่เพียงพอ เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2566 ที่เมืองดูไบ ประเทศประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ไซมอน สตีลล์ หัวหน้าฝ่ายภูมิอากาศขององค์การสหประชาชาติได้กล่าวในการประชุม COP28 ว่าการประชุมครั้งนี้ว่ามีความจำเป็นต้องเร่งควบคุมภาวะโลกร้อนและยุติวิกฤตสภาพภูมิอากาศให้ได้ ทั่วโลกต้องลงมือทำอย่างจริงจัง ไม่ใช่มาประชุมเพื่อทำคะแนนหรือหวังผลทางการเมือง และ “เจตนาที่ดี” ก็ไม่ช่วยให้โลกสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงครึ่งหนึ่งได้
เขาเน้นว่าช่วงเวลาสำคัญในการดำเนินการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกเช่นนี้ จำเป็นต้องมีความโปร่งใสในการให้ทุนสนับสนุนการดำเนินการเพื่อลดภาวะโลกร้อน และต้องมีความก้าวหน้าทางการเงินอย่างชัดเจนซึ่งการเงินสีเขียวถือเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญ
“การเงินสีเขียว” ช่วยโลกของเราได้
มีรายงานของฝ่ายสิ่งแวดล้อมของสหประชาชาติ โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) เปิดเผยว่าถึงแม้ว่าจะมีการเรียกร้องให้ยุติกระแสการเงินที่ส่งให้กับภาคส่วนที่ส่งผลเสียต่อธรรมชาติโดยตรง แต่การลงทุนดังกล่าวในปัจจุบันคิดเป็นอัตราส่วนสูงถึง 7% ของจีดีพีโลก
รายงานดังกล่าวเป็นไปในทิศทางเดียวกับรายงาน State of Finance for Nature 2023 ซึ่งเป็นการสำรวจพื่อวัดปริมาณกระแสการเงินภาครัฐและเอกชนเพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่อยู่บนพื้นฐานของธรรมชาติ และขอบเขตที่กระแสการเงินสอดคล้องกับเป้าหมายระดับโลก รวมทั้งการลงทุนที่จำเป็น เพื่อจำกัดภาวะโลกร้อนโดยเน้นย้ำถึงความเร่งด่วนในการจัดการกับวิกฤตการณ์ที่เชื่อมโยงถึงกันของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และความเสื่อมโทรมของที่ดิน
รายงานดังกล่าวทำให้เห็นความไม่สมดุลระหว่างการลงทุนของภาคเอกชนที่ส่งผลเสียต่อธรรมชาติที่มีสูงถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีกับการลงทุนที่ส่งเสริมการแก้ไขปัญหาสภาพการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศที่มีเพียง 35 พันล้านดอลลาร์ต่อปี หมายความว่าทุกๆ 1 ดอลลาร์ที่ลงทุนในการปกป้องธรรมชาติ จะมีการลงทุน 140 ดอลลาร์ในกิจกรรมที่สร้างความเสียหายให้กับธรรมชาติ ทั้งนี้ ภาคอุตสาหกรรม 5 สาขาที่มีส่วนในการทำให้เกิดผลกระทบต่อธรรมชาติเกือบครึ่งหนึ่ง ได้แก่ 1) การก่อสร้าง 2) สาธารณูปโภคไฟฟ้า 3) อสังหาริมทรัพย์ 4) น้ำมันและก๊าซ 5) อาหารและยาสูบ
สถานการณ์เช่นนี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นอย่างเร่งด่วนในการเปลี่ยนแปลงทางการเงินเพื่อแก้ไขปัญหาเชิงบวก ซึ่งนิกิ มาร์ดาส กรรมการบริหารของบริษัท Global Canopy (พันธมิตรของ UNEP) ชี้ให้เห็นว่าที่ผ่านมาเกี่ยวกับการตัดไม้ทำลายป่า มีสถาบันการเงินเพียง 20% (จากสถาบันการเงินกว่า 700 แห่ง) ที่มีข้อผูกพันระดับสูงในการบรรลุเป้าหมายคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์
นิกิ มาร์ดาส ยังได้เน้นว่าการดำเนินการขนานใหญ่ที่สุดเพียงอย่างเดียวที่เราจะทำได้เพื่อธรรมชาติ สภาพภูมิอากาศ และผู้คนก็คือ “การเงินสีเขียว” และเราจำเป็นต้องจัดหาเงินทุนสีเขียวซึ่งต้องมีถึง 7 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อให้หลุดพ้นจากวงจรของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
มาตรฐานเพื่อการเงินสีเขียว
สำหรับมาตรฐานเกี่ยวกับการเงินสีเขียวซึ่งจะมีส่วนช่วยให้ผลิตภัณฑ์ทางการเงินได้รับการจัดสรรไปกับกิจกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นนั้น ไอเอสโอได้พัฒนาขึ้นมาหลายฉบับ เช่น
– ISO 32210, Sustainable Finance, Guidance on the application of sustainability principles for organizations in the financial sector
– ISO 14093, Mechanism for financing local adaptation to climate change, Performance-based climate resilience grants, Requirements and Guidelines
– ISO 14100, Guidance on environmental criteria for projects, assets and activities to support the development of green finance
– ISO 14030-1, Environmental performance evaluation, Green debt instruments, Part 1: Process for green bonds
– ISO 14030-2, Environmental performance evaluation, Green debt instruments, Part 2: Process for green loans
เป็นต้น
สำหรับท่านที่สนใจความรู้ หรือบริการด้าน ESG สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ฝ่ายบริการด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน โทรศัพท์ 026171723 – 36 ต่อ 213 – 214 หรือ Email: 2SD@masci.or.th
ที่มา: 1. https://esgnews.com/event/cop-28-2023/
2. https://news.un.org/en/story/2023/12/1144597
874 ผู้เข้าชมทั้งหมด